แม่ลูกอ่อนอย่างฉันจะไม่ใช่แม่หมูอีกต่อไป
สวัสดีค่ะ วันนี้เราจะมารีวิวเรื่องการลดน้ำหนักของตัวเอง ในแบบฉบับคนงบน้อยที่ไม่มีเวลา
โดยใช้วิธีการควบคุมอาหาร และออกกำลังกายที่บ้าน ไม่ได้เข้าฟิตเนสเลยค่ะ
ก่อนอื่นที่อยากจะมารีวิว เพื่อ…
1. เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังลดน้ำหนัก โดยเฉพาะคุณแม่ลูกอ่อนค่ะ และ
2. กระตุ้นตัวเองให้มีวินัย ทำต่อไปเรื่อยๆเพื่อสุขภาพที่ดี อยากอยู่กับลูกไปนานๆค่ะ
อุปกรณ์มี 3 อย่างค่ะ
1.รองเท้า ขอให้ใช้รองเท้าผ้าใบสำหรับวิ่งนะคะ ถีงเราจะไม่ได้วิ่ง แต่พวกท่ากระโดดต่างๆ รองเท้าที่ดีจะทำให้เราไม่ปวดข้อเท้าค่ะ
2.เสื่อโยคะ
3.วินัย ที่ต้องพกติดตัวตลอดเวลาค่ะ
น้ำหนักค้างหลังคลอดแค่ 3 โล แต่หุ่นอวบระยะสุดท้ายที่ค้างหลังคลอดเหมือนขึ้นมา 10 โล หน้าท้องที่ขยายเพื่อโอบอุ้มลูกน้อยแต่ยังไม่ยุบเวลาส่องกระจก นี่มันทรมานจิตใจเหลือเกิน
ท้าวความก่อนนะคะ เราเป็นคนอ้วนตั้งแต่เด็กค่ะสมัยเด็กอ้วนมากค่ะ แบบอนุบาล3 น้ำหนัก 28 กิโล น่ารักตามภาพค่ะ
พอมาช่วงม.ต้น ได้ไปเล่นกีฬาค่ะ ก็เลยไม่ได้อ้วนมากแต่ไม่ใช่คนผอมค่ะ ซ้อมจริงจังจนเป็นนักกีฬาค่ะ แต่นักกีฬากับความผอมไม่ใช่ของคู่กันเสมอไปค่ะ เพราะนักกีฬาจะคิดว่าเราออกเยอะก็กินๆไปเถอะกินเยอะมากค่ะ และด้วยความเป็นคนไม่ชอบทานข้าวค่ะ จะชอบทานพวกของหวาน มัน ของทอด เลยไม่ใช่เป็นคนผอมค่ะ พอใกล้แข่งเพราะเป็นกีฬาที่แข่งขันตามรุ่นน้ำหนัก ไม่เกิน 52 กิโลกรัม ก็ลดน้ำหนักแบบหักโหม พอชั่งน้ำหนักเสร็จก็กินต่อ น้ำหนักขึ้นไปเป็น 53-54 กิโลกรัม เป็นวงจรแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่เคยมีซิคแพคเลย ทั้งที่ออกกำลังกายเยอะทุกวัน ถ้าใกล้แข่ง ไปเที่ยวก็ต้องอดอาหารค่ะ อยู่บ้านยังต้องวิ่งแบบจำใจค่ะ
พอช่วงเวลาที่เราเรียนจบต้องทำงาน หยุดเล่นกีฬาไป สิ่งที่ทำมาเป็นสิบๆปี ก็ส่งผลตอนนี้แหล่ะค่ะ ก็เกิดภาวะโยโย่ แต่เราจะขี้เกียจออกกำลังกายมากกกกกค่ะเพราะเราออกมาทั้งชีวิต เริ่มไม่อยากเจอเพื่อนสมัยเรียน ไม่อยากเจอเพื่อนนักกีฬาเลย กลัวเค้าทักว่าอ้วนขึ้น กลายเป็นคนที่กลัวการชั่งน้ำหนัก กลัวการทานข้าวโดยเฉพาะข้าวเย็น เราจะเลือกทานแต่กับข้าว ข้าวเช้ากับกลางวันรวมกัน แต่ก็ยังติดของมันอยู่ ผ่านไปหลายปี จนช่วงอายุ 30 กลับไปลงแข่งขัน ซึ่งไม่ใช่รุ่นน้ำหนักเดิมแล้วนะคะ เพิ่มรุ่นเป็นน้ำหนักไม่เกิน 55 กิโลกรัม เป็นการชั่งน้ำหนักครั้งแรกในรอบหลายๆปี หนักขึ้นไป 60 กว่า ต้องลดน้ำหนักลงอีก 5 กิโลกว่า ในเวลาแค่ 10 วัน ก็ลดแบบหักโหม วิ่งทุกคืน กินแค่ อกไก่ต้มมื้อละ 40 กรัม 3 มื้อ สรุปลดได้นะคะ แต่ก็โยโย่หนักกว่าเดิม กลับมาวงจรเดิมค่ะ
อยู่มาวันหนึ่งเหมือนสวรรค์มาโปรด คือท้องค่ะ ก็ดีใจมากกกก แต่ไม่ใช่ดีใจเฉพาะที่มีลูกนะคะ มีอีกสิ่งหนึ่งที่ดีใจมาก คือเป็นความรู้สึกที่ชั้นจะกินอะไรยังไงก็ได้ ชั้นท้องจ้า หวานมัน จัดทุกวัน คุณหมอที่เราฝากครรภ์ว่าเรื่องน้ำหนักทุกรอบที่นัดตรวจ กินเยอะแต่ไม่ออกกำลังอะไรเลย โยคะ หรือเดินเฉยๆ ที่เค้าให้คนท้องออกได้ ก็ไม่เอาเลยค่ะ อ้างท้องเดินเร็วบนลู่ก็หน่วงท้องละ อุปทานหรือเปล่าไม่รู้ แต่แค่กิน นอนและทำงานตลอด9เดือน น้ำหนักขึ้นจากก่อนท้อง 58 เป็นก่อนคลอด 72.5 ค่ะ
จนคลอด เลี้ยงลูกให้นมแม่ล้วนก็หิวอีก กินแหลกขนมปังเนยนม โอวัลตินเย็นทุกคืน ต้องมี ไม่รวมน้ำหวานต่างๆ แต่ช่วงแรกที่คลอดน้ำหนักก็ลงเรื่อยๆนะ เพราะกล้ามเนื้อที่เราเคยมีเปลี่ยนเป็นไขมันล้วนๆ พอชั่งน้ำหนักแล้วลด ทั้งๆที่กินแหลก ก็ยิ่งได้ใจไปอีก กินหนักเข้าไปอีก
จนหลังคลอด 6เดือน น้ำหนักค้างที่ 61 ค้างนาน 2 เดือน ช่วงนั้น ถ่ายรูปกับลูกเราจะหลอกตัวเองเสมอ ว่าเราไม่อ้วนขึ้นเท่าไหร่หรอก ด้วยความที่น้ำหนักมันค้างแค่ 3-4 โล เลยคิดว่าเราหุ่นใกล้กลับมาเหมือนก่อนคลอดแล้ว เวลาลงรูปก็จะลงรูปที่มีแต่หน้า จนมาวันนึงที่เราใส่ชุดว่ายน้ำ ไปว่ายน้ำกับลูก เราต้องยัดตัวเองเข้าไปในชุดว่ายน้ำตัวเก่า พอเราเห็นรูปที่ถ่าย ก็เริ่มยอมรับความจริง
ตอนนั้นเห็นน้องที่รู้จักคนนึงเปิดคอร์สเทรนออนไลน์อยู่ ก็เลยสมัครไป ร่ายมายาว เพื่ออยากให้เพื่อนๆเห็นถึงวิธีการลดน้ำหนักผิดๆ มาตลอดเป็นสิบปี จุดเริ่มต้นมันเลยอยู่ตรงนี้ค่ะ
น้องให้ถ่ายรูปbefore พูดจากใจจริงๆเลยค่ะว่า เป็นครั้งแรกที่เห็นตัวเองเต็มตา ก็แบบตกใจ มายก๊อดดด ทำไมชั้นมาไกลขนาดนี้ ฉันต้องทำอะไรซักอย่างแล้ว
เราได้ควบคุมอาหาร โดยการยังทานอาหาร 3 มื้อ ไม่ตัดแป้ง เน้นโปรตีน งดหวานและมัน งดของทอด อาหารที่กินก็จะประมาณนี้ (ถึงแม้ว่าน้องจะบอกว่าเรากินแบบเดิมๆกลัวเบื่อ ต้องบอกก่อนว่านี่คือสวรรค์ของคนที่เคยลดแบบอดอยากอย่างเรามาก)
ตัวอย่างอาหารที่เราทาน
-ไข่พะโล่ น่องไก่ลอกหนัง ข้าวกล้อง
-ข้าวกล้องต้มกุ้งใส่อกไก่ไข่ขาว
-แกงมันฝรั่งอกไก่ใส่นมอัลมอนด์แทนกะทิ
-เนื้อปลาผัดพริกแกง
-อกไก่อบ
เริ่มทำท่าออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอที่เรียกว่า HIIT หรือเป็นกลุ่มบอดี้เวท วันละ30-45นาที ฟังดูง่ายๆใช่มั๊ยคะ แต่เดี๋ยวก่อน ตอนที่เริ่มทำ ลูกอายุ 8 เดือนโดยประมาณค่ะ เรากลับไปทำงานแล้ว งานที่เราทำคือสัตวแพทย์ ทำงาน 9.00-21.00 น. ใช้เวลาเดินทางไปทำงานรอบละเกือบ 1 ชั่วโมง กลับบ้านลูกงอแงก็ต้องเลี้ยงลูก ทำไงดีล่ะทีนี้
ก่อนอื่นที่ต้องทำคือตกลงกับสามีก่อนค่ะ ว่าหลังจากกลับบ้านแม่ขอเวลา 30-45 นาที ให้สามีช่วยดูลูกก่อน เพราะเราตื่นเช้าไม่ไหวจริงๆ แค่ไปทำงานก็ตื่นลำบากแล้ว เราก็ทำตอน4-5ทุ่มเนี่ยแหล่ะค่ะ ที่บ้าน ทุกวัน วันหยุดตื่นกี่โมงก็ทำตอนนั้น บางวันลูกงอแงหนักๆ ก็เอามาคลานใกล้ๆหรือเข้าไปทำในคอกกับลูกไปเลยค่ะ
ครั้งแรกของการเริ่มต้นใหม่ มันไม่ง่ายเลยจริงๆค่ะ การทำท่าบอดี้เวทต่างๆ เช่นท่าแค่ซิทอัพง่ายๆก็ลำบากแล้ว เมื่อก่อนเราทำง่ายมากๆ สบายมาก แต่หลังคลอด เราทำท่าหน้าท้องไม่ได้เลย แค่ 5 ทีก็ล้มแล้ว ทำท่าทุกอย่างเก้ๆกังๆด้วยความไม่แข็งแรง เหนื่อย มันทำให้เราท้อสุดๆ แต่ก็พยายามทำ ทำทุกวันมันก็แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆค่ะ จนร่างกายฟื้นตัว ร่วมกับการทานดีแบบไม่หักโหม ผ่านไป 3-4 เดือน พุงยุบ ก็เริ่มมีกำลังใจ (เราสมัครออนไลน์ไปแค่ 2 เดือน ที่เหลือคือเอาสิ่งที่ได้รับมาทำต่อเอง)
ร่วมกับตอนนั้น น้องชวนให้สมัครโครงการ fat to fit ของ vistra ซึ่งเป็นโครงการฟรีนะคะ เราก็ได้เข้าร่วม (ของฟรีมาเถอะ แม่ชอบบบบบ) แม่มีเป้าหมายใหม่ คืออยากมี six packs ที่แม่ไม่เคยมีเลยมาตลอด
เราไม่ได้ใช้ยาหรืออาหารเสริมกลุ่มลดน้ำหนักนะคะ แต่เราได้ตัว whey protein ของvistra มาให้ทานเสริม กับที่เราทำอยู่แล้ว (ซึ่งเป็น whey ที่ sugar และ fat น้อยมากๆๆ และรสช๊อกโกแลตจะบอกว่ามันอร่อยมาก) ใช้เวลา 1 เดือนค่ะ ได้ six packs ลางๆมาสมใจค่ะ
น้ำหนักตอนจบคอร์สได้ที่ 54.2 kg เกือบเท่าสมัยเรียนเลยค่ะ และfat วัดได้ประมาณ 18.9% ค่ะ
ตอนนี้ ก็กลับมากินมากขึ้น แต่เน้น วันไหนกินขนม ก็ต้องออกกำลังกายค่ะ แต่ถ้าวันไหนไม่ว่างออกกำลังกายจริงๆก็กินดีหน่อยค่ะ น้ำหนักจะอยู่ที่ประมาณ 56 kg แต่แฮปปี้ชีวิตมากกว่าเมื่อก่อนมากค่ะ ไม่กลัวการกินข้าวแล้ว ใช้ชีวิตให้สมดุล กินข้าวนอกบ้านได้ ไปไหนมาไหนไม่กลัวเจอเพื่อนเก่าแล้วค่ะ
you are what you eat เป็นคำพูดที่จริงเสมอ ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนค่ะ
สุดท้ายนี้เราได้เรียนรู้ว่า น้ำหนักบนตาชั่ง มันไม่ได้สำคัญเท่าการมีหุ่นที่ดี และมีสุขภาพดีค่ะ เพราะกล้ามเนื้อมีน้ำหนักมากกว่าไขมัน การทำอะไรที่ไม่หักโหม คือไม่อดจนโหย ออกกำลังกายที่เราไม่ต้องพยายาม เช่นเรามีเวลาแค่นี้ ก็ออกกำลังที่บ้าน ไม่ต้องฝ่ารถติดไปฟิตเนส เราเลี้ยงลูกก็เอาลูกมาออกกำลังด้วย เราขอเป็นกำลังใจ ให้ทุกคนที่เริ่มต้นลดน้ำหนักนะคะ ไม่ว่าคุณจะเคยมีรูปร่างผอม แล้วอ้วนขึ้น หรืออ้วนตั้งแต่เด็ก ทุกคนสามารถหุ่นดีได้ค่ะ