สเตียรอยด์ อันตรายกว่าที่ตาเห็น
นอกเหนือจากสิวฮอร์โมนวัยรุ่น สิวอุดตัน สิวอักเสบ สิวเครื่องสำอางแล้ว สเตียรอยด์ อันตรายกว่าที่ตาเห็น ปัจจุบันนี้ยังมีสิวสเตียรอยด์ สิวเวอร์ชั่นใหม่ที่ทำเอาสาวๆหนักอกหนักใจกันสุดๆ เพราะเปลี่ยนจากหน้าขาวใส กลายเป็นหน้าศพชั่วข้ามคืน! พญ.สาวิตรี สิริกุลพิบูลย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังจะมาให้ความรู้เกี่ยวกับสิวสเตียรอยด์ค่ะ
เพราะความอยากขาว หน้าใสไร้สิว เป็นเหตุให้ติดกับดัก
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ต่างๆมักอวดอ้างว่าช่วยให้ผิวขาวใสรวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ โดยคุณหมอได้ให้ข้อมูลและอธิบายสาเหตุว่า
“สิวสเตียรอยด์ เกิดจากการทายาหรือครีมที่มีส่วนประกอบของสารสเตียรอยด์ เช่นครีมหน้าเด้ง ครีมรักษาฝ้าที่ขาวเร็ว แต่พอใช้นานติดต่อกัน จึงเกิดเป็นฝ้าเลือด (ผิวบางมีเส้นเลือดฝอยแดงๆเล็กๆที่ใบหน้า) ซึ่งครีมเหล่านี้ไม่ได้การรับรองจากองค์การอาหารและยาการใช้เป็นระยะเวลานานเกิดฝื่นสิวที่เรียกกันว่า สิวสเตียรอยด์”
เช็คอาการ ลักษณะของสิวสเตียรอยด์เป็นอย่างไร?
คุณหมอสาวิตรีแนะวิธีสังเกตุง่ายๆว่าผิวติดสเตียรอยด์หรือไม่
“เบื้องต้น ผิวจะเป็นรอยแดงๆในบริเวณที่มีการใช้ครีมที่มีส่วนประกอบสเตียรอยด์ ผื่นมักขึ้นกลางหน้าผากเปลือกตาแก้มและคาง
จะมีลักษณะเป็นตุ่มเล็กๆร่วมกับตุ่มหนอง และอาจจะมีขุยเล็กๆร่วมด้วย บริเวณรอยแดงจะรู้สึกแสบร้อนและคัน อาจตรวจพบเส้นเลือดฝอยแดงเล็กๆใต้ผิวและผิวจะระคายเคืองแพ้ง่าย คือเข้าข่ายโดนอะไรนิดอะไรหน่อยก็แพ้เป็นผื่นสิว”
เลิกใช้ทันที รักษาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ผื่นสิวสเตียรอยด์จะเห่อมากเมื่อหยุดใช้ครีมหน้าเด้งแบบฉับพลัน หากทราบว่าผิวมีแนวโน้มเป็นสิวสเตียรอยด์ ควรเลิกใช้ผลิตภัณฑ์โดยทันที การรักษาจะปรับการติดสเตียรอยด์ของผิว โดยจะใช้สเตียรอยด์ความเข้มข้นต่ำ ค่อยๆลดปริมาณและความถี่ในการใช้ ไปพร้อมๆกับการรับคำปรึกษาจากแพทย์โดยด่วน
คุณหมอย้ำชัดอีกครั้งเรื่องการเลือกผลิตภัณฑ์ว่า
“การเลือกผลิตภัณฑ์ที่ช่วยฟื้นบำรุงผิวจึงเป็นสิ่งสำคัญ หากผิวแห้งตึงในช่วงที่ผิวติดสเตียรอยด์ แนะนำใช้มอยส์เจอร์ไรซ์เซอร์ที่ปราศจากน้ำมันเลือกผลิตภัณฑ์ที่ประกอบด้วยสารเซรามายด์ (Ceramide) ซึ่งเป็นสารที่เป็นองค์ประกอบของโครงสร้างผิว จึงเป็นเกราะปกป้องชั้นดี ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับชั้นผิว กระตุ้นการทำงานของกำแพงผิว พร้อมป้องกันการสูญเสียน้ำ และไบซาโบรอล (Bisabolol) ช่วยลดการระคายเคือง และการอักเสบของผิวได้เป็นอย่างดี”
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : PROVAMED