การตรวจภายในสำคัญอย่างไร
- เพื่อตรวจค้นหาและคัดกรองความผิดปกติ ทั้งที่มีและไม่มีอาการแสดง เมื่อพบโรคแล้ว จะได้รับการรักษา, ป้องกันการลุกลามของโรคและติดตามอาการอย่างเหมาะสม
- เพื่อวินิจฉัยแยกโรคจากระบบอื่นๆ เช่น ระบบทางเดินอาหาร, ระบบทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น
* โรคบางโรคเมื่อเกิดขึ้นแล้วไม่มีอาการแสดงให้ทราบก่อนได้ นอกจากต้องตรวจภายใน เช่น ก้อนเนื้องอกที่มดลูก มะเร็งปากมดลูกในระยะแรก เป็นต้น
อาการใดบ้างที่เราควรมาตรวจภายใน
- เลือดออกผิดปกติ เช่น ออกกะปริบกะปรอย, ปริมาณมาก มีลิ่มเลือดปน, ระดูมานานกว่า 7 วัน ระยะรอบประจำเดือน มาห่างน้อยกว่า 21 วัน หรือมากกว่า 35 วัน, เลือดออก
- ตกขาว มีปริมาณมากขึ้น สีเปลี่ยนไป เช่น สีเขียว, สีเหลือง มีกลิ่นแรงขึ้น ลักษณะเปลี่ยน ไปเป็นลักษณะมูกสีขาวข้นคล้ายแป้ง
- ปวดท้องน้อย ทั้งที่สัมพันธ์กับช่วงมีระดูหรือไม่มีระดู, ปวดหน่วงท้องน้อย
- พบผื่น, ติ่งเนื้อที่อวัยวะเพศภายนอก, แสบขัดในช่องคลอด
- คลำพบก้อนที่ท้องน้อย
เราควรเริ่มตรวจภายในเมื่อใด
เราควรเริ่มตรวจภายในเมื่อมีอาการผิดปกติต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น ไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็ตามและร่วมกับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
- เริ่มตรวจได้ตั้งแต่อายุ 21 ปี หรือมีเพศสัมพันธ์แล้วอย่างน้อย 3 ปี
- สามารถหยุดตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกได้ เมื่ออายุ 65-70 ปี โดยที่ผลการตรวจคัดกรองปกติ 3 ครั้ง ใน 10 ปี ก่อนหยุดตรวจ
- ผู้หญิงที่ผ่าตัดเอามดลูกออกแล้ว ร่วมกับมีผลการตรวจก่อนหน้าปกติ
- ผู้หญิงที่เคยตรวจพบความผิดปกติแล้ว ควรตรวจสม่ำเสมอ
- ผู้ที่ได้รับ HPV vaccine แล้วยังคงต้องตรวจภายในและคัดกรองมะเร็งปากมดลูกสม่ำเสมอ เช่นเดียวกับ ผู้ที่ไม่ได้รับ vaccine
- การตรวจภายในนั้น ควรตรวจทุก 1 ปี ส่วนการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกนั้น อาจตรวจได้ทุก 3 ปี
การตรวจภายใน มีการตรวจอะไรบ้าง
- การดูและคลำอวัยวะภายนอกและภายในอุ้งเชิงกราน
- การคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ซึ่งมีหลายวิธี Pap smear, Liquid base cytology, HPV test ปัจจุบันวิธีที่มีประสิทธิภาพในการตรวจพบความผิดปกติที่ดีที่สุด คือการตรวจ Pap smear หรือ Liquid base cytology ร่วมกับ HPV test
- การตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม โดยการอัลตราซาวน์ช่องท้องด้านล่าง เป็นต้น
ที่มา : ผู้หญิง และสุขภาพผู้หญิง : www.108health.com
|